หลายๆ คนที่กำลังเลือกซื้อรถ EV อาจมีข้อสงสัยว่า ถ้ามีรถ EV แล้ว จำเป็นต้องมี EV Charger ที่บ้านไหม แล้วถ้าอยากติดตั้ง EV Charger จะต้องทำอย่างไร ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง วันนี้ซันเดย์จะมาแนะนำให้ทุกคนทราบกัน
สำหรับคำถามที่ว่า “จำเป็นต้องมี EV Charger ที่บ้านไหม?” ซันเดย์ขอบอกว่า “ไม่จำเป็น” หากแต่การมีไว้ที่บ้านนั้นมีข้อดีคือหากเราใช้รถมาทั้งวัน แล้วแบตรถยนต์กำลังจะหมดตอนใกล้ถึงบ้าน ก็อุ่นใจได้เลยว่า เมื่อถึงบ้านแล้วจะได้ชาร์จแน่นอน ไม่ต้องวนหาที่ชาร์จ หรือเสี่ยงหาที่ชาร์จไม่ได้ นอกจากนั้นการมี EV Charger ที่บ้านก็ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก
ติดตั้ง EV Charger ที่บ้านต้องทำอย่างไรและเตรียมตัวอย่างไรบ้าง? ซันเดย์รวบรวมขั้นตอนมาให้แล้วที่นี่
1. มิเตอร์ไฟฟ้า
อย่างแรกต้องดูมิเตอร์ไฟฟ้าที่บ้านเราก่อนว่าเป็นแบบไหน เหมาะสมที่จะติดตั้ง EV Charger หรือไม่ ซึ่งวิธีเช็กก็สามารถูได้ที่มิเตอร์ที่บ้านได้เลย โดยค่าที่เราจะดูมี 2 ส่วน อย่างแรกคือ “เฟสไฟฟ้า” ซึ่งหมายถึงระบบแรงดันไฟฟ้านั่นเอง โดยจะมี 2 ประเภท ประเภทแรกคือ 1 เฟส ที่รู้จักกันในชื่อ Single Phase หรือ 1 Phase 2 Wire และอีกประเภทคือ 3 เฟส หรือ 3 Phase 4 Wire ซึ่งจะต่างกับ 1 เฟส ตรงที่มีแรงดันไฟฟ้ามากกว่า ส่วนอีกค่าที่เราจะดูก็คือ “ขนาดมิเตอร์” ที่หมายถึงขนาดแอมป์ของมิเตอร์นั่นเอง โดยมิเตอร์ตามบ้านโดยทั่วไปจะมีขนาด 5(15)A 15(45)A หรือ 30(100)A โดยตัวเลขพวกนี้หมายถึงขนาดแอมป์และความสามารถในการใช้ เช่น 15(45)A หมายถึง มิเตอร์ขนาด 15 แอมป์ สามารถใช้ไฟได้มากถึง 45 แอมป์ เมื่อเรารู้ว่ามิเตอร์ตัวเองเป็นแบบไหนแล้ว ก็สามารถเช็กได้ว่ามิเตอร์ที่มีเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งทางการไฟฟ้าแนะนำประเภทและขนาดมิเตอร์ที่เหมาะสมในการชาร์จรถยนต์คือ 1 เฟส 30(100)A หรือ 3 เฟส 15(45)A ซึ่งหากที่บ้านมีมิเตอร์ประเภทนี้อยู่ก็สามารถใช้ได้เลย แต่หากต่ำกว่านั้นอย่าง 1 เฟส 15(45)A ต้องติดต่อการไฟฟ้าเพื่อขอเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้า

2. ความสามารถในการรับไฟของ On-board charger
ต้องดูว่า On-board charger หรือเครื่องชาร์จที่ติดตั้งในตัวรถของรถยนต์ สามารถรับไฟได้ขนาดเท่าไหร่ โดยทั่วไปจะมีขนาดตั้งแต่ 3.6kW ถึง 22kW ขึ้นอยู่กับรถยนต์แต่ละรุ่น ซึ่งค่านี้จะมีผลกับระยะเวลาในการชาร์จ หากมีค่ามากก็จะใช้เวลาในการชาร์จน้อยลง แบตก็จะเต็มเร็วขึ้นนั่นเอง เมื่อทราบค่าการรับไฟของ On-board charger แล้ว ก็ควรเลือก EV Charger ที่มีกำลังไฟที่ใกล้เคียงกับ On-board charger
3. รูปแบบหัวชาร์จ
ต้องดูว่าหัวชาร์จที่เหมาะกับรถของเราเป็นแบบไหน เนื่องจากในปัจจุบันมีหัวชาร์จหลากหลายแบบ จึงต้องเลือกเครื่องที่มีหัวชาร์จที่เหมาะสมกับรถของเรา ซึ่งรถ EV ทั่วไปที่ใช้กันในไทยจะมีหัวชาร์จดังนี

4. เลือกจุดติดตั้ง EV Charger
จุดที่จะติดตั้ง EV Charger ไม่ควรอยู่ห่างจากที่จอดรถเกิน 5 เมตร เนื่องจากสายชาร์จโดยทั่วไปจะมีความยาวอยู่ที่ 5 – 7 เมตร และ EV Charger ควรอยู่ใกล้กับตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าหลัก หรือตู้เมน (MBD) ของบ้าน เพื่อให้เดินสายไฟได้สะดวก และพื้นที่นั้นควรมีหลังคาเพื่อป้องกันฝนในระหว่างการชาร์จ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการกันน้ำของ EV Charger นั้นๆ นอกจากนั้นควรมีการติดตั้งอุปกรณ์ตัดไฟรั่วและสายดินของ EV Charger แยกกับสายดินหลักของบ้าน

เมื่อเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็สามารถเลือกซื้อ EV Charger ได้เลย โดยอย่าลืมว่าต้องเลือกหัวชาร์จและกำลังไฟในการชาร์จให้เหมาะสมกับรถ EV ของเรา นอกจากนั้นควรเลือกซื้อ EV Charger ที่มีมาตรฐาน มีการรับรองจากมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) หรือมีการรับรองจากมาตรฐานสาขาอิเล็กทรอเทคนิกส์ระดับสากล หรือ IEC (International Electro technical Commission) และมีบริการติดตั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าติดตั้งอย่างถูกต้องและมีความปลอดภัยมากที่สุดนั่นเอง
เมื่อเรามี EV Charger แล้ว อย่าลืมเพิ่มความอุ่นใจให้กับการใช้รถ EV ด้วยประกันรถยนต์ซันเดย์ที่รองรับรถ EV โดยเฉพาะ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 👉 ezsun.co/j8XJdqm