พาเที่ยว “หลวงพระบาง”

เกิดเป็นคนทั้งทีชีวิตนี้ต้องมีรสชาติ แต่ถ้าจะมีแค่เปรี้ยวหวานมันเค็มชีวิตก็คงเบื่อน่าดู เพราะชีวิตมันต้อง “แซ่บ” ต้อง “เผ็ช” แล้วก็ต้องเติมผงนัวลงไปนิดนึงมันถึงจะเรียกว่าชีวิต และประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเผ็ด แซ่บ นัว ก็อยู่ใกล้กับไทยอึดใจเดียว บ้านพี่เมืองน้องที่แสนจะน่ารัก

เส้นทางในฝันของนักท่องเที่ยวชาวไทยและนักเดินทางทั่วโลกที่รักในความสงบ อยากสยบทุกความเร่งรีบ เกริ่นขนาดนี้พวกแกคงรู้แล้วล่ะว่าวันนี้ เราจะชวนพวกแกไปเที่ยว หลวงพระบาง มุมเดียวของโลกที่จะมอบความชิวที่แช่มช้อยแต่ก็ไม่เชื่องช้าจนเซ็งและจืดชืด กับการเดินทางเพิ่มความแซ่บแบบสโลวไลฟ์ เราจะไปเที่ยวเหมือนไปเยี่ยมเพื่อนที่ต่างจังหวัด ไปเปลี่ยนที่กิน ไปย้ายที่นอน ไปพักผ่อนสมอง โยนนาฬิกาทิ้งไปแล้วถามหัวใจว่าอยากทำอะไรที่ไหนกี่โมง เพราะไม่มีใครเค้าเดินไวกันหรอกที่หลวงพระบาง เราจะไปตักบาตร เล่นน้ำตก ปั่นจักรยานชมเมือง เดินทอดน่องช้อปปิ้ง ทิ้งตัวในโรงแรมหรู นอนรอดูพระอาทิตย์ตก กับช่วงเวลาคุณภาพ 3 วัน 2 คืน เอาล่ะออกเดินทางได้

ที่นี่เป็น Sofitel ที่เล็กที่สุดในโลก มีจำนวนห้องพักไม่มากเท่าไหร่ เราได้พักห้องด้านหน้าสระสุดชิว ในอาคารที่ภายนอกดูเก่าดูคลาสสิคจนเกือบจะดูจืดๆ ไปสักหน่อย แต่ภายในตกแต่งได้ลงตัวมาก น่ารัก มันคือความหรูหรา น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ มีสไตล์ ก็บอกละว่านางคือส้มตำเผ็ดน้อยที่ซ่อนความแซ่บไว้ในทุกคำที่ได้กลืนกิน และที่สำคัญทำเลของที่นี่ไม่ได้อยู่ย่านใจกลางเมือง เราจึงได้รับความเงียบ สงบ ไว้นอนฟังเสียงนกในลาวคุยกันได้แบบสบายๆ แถมบ้านเรือนรอบๆ ข้างก็ยังคงความพื้นบ้าน มีความเรียลอยู่มาก เพราะฉะนั้นมันจึงสงบและเป็นส่วนตัวอย่างมาก

 

หลังจากโยนกระเป๋า เตรียมออกเดินทาง เราก็ส่องกระจกแล้วตกใจเลยล้างหน้าล้างตาเล็กน้อยให้ดูสดใสเหมือนวัยแรกรุ่น ก็ได้เวลาปั่นจักรยานไป พระธาตุพูสี พระธาตุแห่งนี้คือพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบาง เราจึงไม่ควรพลาดที่จะไปสักการะ อารมณ์เดียวกับที่ฝรั่งมาบ้านเราต้องไปวัดอรุณ วัดพระแก้ว พระธาตุทององค์เล็กๆ นี้มีจุดเด่นคือสามารถมองเห็นได้จากทุกมุมของหลวงพระบาง แม้กระทั่งบนอากาศช่วงใกล้แลนด์ดิ้งก็ยังสามารถสังเกตุเห็นได้ เราจึงเลือกช่วงเวลาดีสี่โมงครึ่ง เวลาแสงแดดกำลังอ่อนโยนกับเรา และเป็นช่วงใกล้พระอาทิตย์ตก เพื่อขึ้นไปสักการะ และรอชมพระอาทิตย์อัสดงของหลวงพระบางว่าจะงามระยับจับตาขนาดไหน

นึกดูเอาว่ามองจากทุกมุมของหลวงพระบางก็ยังสามารถมองเห็นพระธาตุแห่งนี้ได้ แสดงว่าความสูงนั้นไม่ใช่เล่นๆ แน่นอน เราเลยต้องหอบร่างขึ้นบันไดคดเคี้ยวมาถึง 328 ขั้น พอให้ร่างกายได้เสียเหงื่อกันนิดๆ หน่อยๆ แต่เมื่อขึ้นมาถึงมันก็คุ้มค่ามากมายนะยูวววว ทั้งฝรั่ง จีน ไทย แม้แต่ชาวลาวก็พากันขึ้นมาจับจองพื้นที่เพื่อรอดูพระอาทิตย์ตกเหมือนๆ กัน หลักจากไหว้พระและนั่งพักให้หายหอบก็มีเวลานั่งชิวๆ ต่ออีกสักหน่อยเพื่อคลายร้อน และชื่นชมความงานของพระอาทิตย์ยามใกล้ลับขอบฟ้าที่สวยคุ้มค่าหยาดเหงื่อร้อยหยดที่หมดไป แล้วดีดตัวลงจากพระธาตุก่อนที่ฟ้าจะมืด จะได้เดินลงบันไดง่ายๆ ไม่เสี่ยงหัวแตกกระแทกพื้นให้ประกันที่แถมมากับซิมต้องมาจ่ายค่ารักษาเด้อ

จากยอดพระธาตุพูสีเราเดินตรงลงบันไดมายังจุดกึ่งกลางของ “ตลาดมืด” ตั้งแต่ยังไม่มืดแบบไหว้พระปุ๊บก็ลงมาช้อปต่อได้เลย ซึ่งตลาดมืดก็ไม่ใช่ตลาดค้าของเถื่อนอะไรนาจา แต่คนลาวเค้าก็เว้าซื่อๆ ตลาดมืดก็คือตลาดกลางคืนนั่นเอง ในตลาดที่ใหญ่ประมาณหนึ่ง นับก้าวเดินก็คงพอๆกับขึ้นลงพระธาตุพูสีสองรอบแค่นั้นเอง ที่นี่ก็มีของมากมาย ทั้งฝาก ของกิน ขอท้องถิ่นให้ช้อปกันแบบเพลินๆ ท่ามกลางผู้คนที่น่ารัก เราก็เดินไปช้อปไปยิ้มไป ปล่อยตัวปล่อยเวลาไปเรื่อยๆ แบบไม่ต้องรีบร้อนไปไหน ก็บอกแล้วว่าเนี่ยเรามาเพื่อนบ้านที่เหมือนบ้านเพื่อน

 เดินไปจนสุดทางไม่รู้จะไปทางไหนต่อ เพราะมาบ้านเพื่อนแต่เพื่อนไม่ได้มาด้วย ก็ได้แต่แหงนมองฟ้าขอคำตอบจากดวงดาว แล้วสายตาของเราก็ไปพบร้านนั่งชิวด้านบนที่ดูสวยสงบอยู่ไม่ไกลนัก แน่นอนว่าเราก็หอบร่างขึ้นมาด้านบนอีกรอบเพื่อชมวิวทิวทัศน์ ชมตลาด ชมตลาดมืดจากมุมสูง ดูผู้คนเดินไปมา พร้อมสั่งน้ำมะม่วงปั่นหวานน้อยมาจิบเบาๆ ปล่อยให้หมดหนึ่งวันไปแบบเรื่อยเปื่อยช้าๆ คูลๆ มาเมืองช้าก็อย่าไปเร่งไปรีบ ทำอะไรแล้วชิวก็ทำไป

ก่อนเดินกลับไปเอาจักรยานเราเหลือบมองเห็นซอยเล็กๆ มีควันลอยออกมาพร้อมกลิ่นหอมๆ ด้านในเต็มไปด้วยของกิน หมูย่าง ปลาแม่น้ำโขงย่างที่นอนเรียงสงบนิ่งเชิญชวนกันเป็นแถว และอีกสาระพัดเมนู แน่นอนว่าถ้าเราแค่มองแล้วจากไปเฉยๆ คงทำให้คืนนี้นอนไม่หลับเพราะภาพความแซ่บนัว อูมามิ มันติดตามากเว่อร์ ไม่รอช้าใดๆ ทั้งนั้น เราก็พาตัวเองมานั่งกินปลานิลย่างหนึ่งตัว หมูย่าง และส้มตำที่กำชับแม่ค้าว่าขอแซ่บสุดในหลวงพระบาง คือทุกอย่างดีไม่ผิดหวังจริงๆ ยิ่งกินกับข้าวเหนียวร้อนๆ แล้ว ชวนกลับห้องไปนอนพึ่งพุงมาก อิ่มเว่อร์ ฟินเฟร่ออออ

เริ่มต้นเช้าวันที่สองให้ผิวผุดผ่องเป็นยองใยกับกิจกรรมที่มาหลวงพระบางแล้วไม่ทำถือว่าไม่ผิด แต่จะติดใจจนต้องจองตั๋วกลับมาทำสิ่งนี้ให้ได้ เราตื่นมา ตักบาตรข้าวเหนียว กันตอนตีห้าครึ่ง!!!! นี่ตอนพิมพ์ยังไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองตื่นมาได้ไงเช้าเบอร์นี้ อาจเพราะมันเป็นวิถีชีวิตของชาวหลวงพระบางที่เรียลไม่ประดิษฐ์จริงๆ และมันไม่ได้เซทขึ้นมาเพื่อให้เป็นจุดขาย ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งคนหนุ่มคนสาวชาวหลวงพระบางก็ตื่นมากใส่บาตรกันเยอะเว่อร์ เราเลยรู้สึกว่าการตักบาตรครั้งนี้มันคืออีกหนึ่งเสน่ห์ของหลวงพระบาง ที่ทำให้เราสามารถดีดตัวเองจากที่นอนอันแสนนุ่มนิ่ม และภวังค์อันแสนดูดดื่มเพื่อลุกขึ้นมารับบุญในวันนี้ได้

ระหว่างทางกลับท่ามกลางตึกเก่าที่เต็มไปด้วยร้านคาเฟ่ ร้านขายของฝาก ร้านนั่งชิว เราปั่นจักรยานผ่านร้านสีขาวโดดเด่นชนิดที่ แม้ขับผ่านไปแล้วก็ยังต้องหันกลับมามองจนคอแทบเคล็ด และสุดท้ายต้องวนกลับมานั่งที่ DEXTER Cafe’ ที่เป็นร้านสาขาย่อยในหลวงพระบาง สาเหตุที่บอกว่าเป็นสาขาย่อยก็เพราะสาขาหลักเค้าตั้งอยู่ที่สุขุมวิทบ้านเฮานี่เอง ด้วยเวลาเหลือไม่มากก็ต้องกลับโรงแรม บวกกับร้านโทนขาวดำสุดคูล ทำให้เราเลือกนั่งแช่ที่นี่ยาวๆ เป็นสถานที่ปิดทริปแบบเก๋ๆ คูลๆ กับคาเฟ่ที่ควรค่าแก่ความสโลว์ไลฟ์

สามวันสองคืนก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก ณ เมืองมรดกโลก ในธีมสุดชิวอันแสนแซ่บ ที่ทำให้เรารับรู้ถึงการพักผ่อนอย่างแท้จริง เพราะการเดินทางไม่ใช่การล่าแต้ม ที่ใครไปเยอะสถานที่ที่สุดคือผู้ชนะ ความสุขของคนเราล้วนแตกต่างกัน แต่เราเชื่อว่าการได้ฟังเสียงหัวใจตัวเอง ย่อมทำให้ทุกคนมีความสุข และถ้าจะถามว่าหลวงพระบางมีอะไรเราคงตอบได้ง่ายๆ สั้นๆ แค่เพียงว่า หลวงพระบางมีความสุข ความสุขจากความเรียบง่าย ความสุขจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ความสุขจากสิ่งที่มี ความสุขที่เผ็ด แซ่บ นัว คือความสุขที่แกคว้าได้ง่ายๆ แค่ออกเดินทาง หยิบกระเป๋า แล้วชวนเพื่อนไปเพื่อนบ้านกันเถอะ

ขอขอบคุณแหล่งที่มา https://www.facebook.com/jatiewpainai/posts/1656897447762351